มติคณะกรรมการบริษัท

เรื่อง การสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปี

1.การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างรายวันประจำปีงบประมาณ 2551

 

     มติที่ประชุม

   1. อนุมัติวงเงินโบนัสพนักงานและลูกจ้างรายวันประจำปีงบประมาณ 2551 ให้ใช้วงเงินอัตราร้อยละ 1.92 ของประมาณการรายได้ปี 2551 โดยแบ่งเป็น
      1.1 โบนัสองค์กร (Corporate) อัตราร้อยละ 1.63 ของประมาณการรายได้ปี 2551
      1.2 โบนัสส่วนบุคคล (Individual) อัตราร้อยละ 0.29 ของประมาณการรายได้ปี 2551

   2. อนุมัติร่างระเบียบบริษัทฯ ฉบับที่ 24 ว่าด้วย การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ. 2551 และให้ฝ่ายจัดการรับข้อสังเกตของคณะกรรมการ กสท ไปดำเนินการในเรื่อง การนำระบบ KPIs มาพิจารณากำหนดวงเงินโบนัส องค์กร (Corporate) และโบนัสส่วนบุคคล (Individual) รวมทั้ง ให้กำหนดสัดส่วน KPIs ระหว่างผู้บริหาร และพนักงานให้ชัดเจนเพื่อกำหนดวงเงินโบนัสดังกล่าวในปีต่อไป

ทั้งนี้ ขอให้ สร.กสท ทำความเข้าใจกับพนักงานทุกระดับให้ชัดเจนในการขอความร่วมมือสนับสนุนและผลักดันให้การดำเนินงานของ กสท บรรลุเป้าหมายตามแผนธุรกิจของ กสท ปี 2552-2554 ด้วย

 

2.การปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

 

     มติที่ประชุม

   1. อนุมัติ ให้ กสท จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราดังนี้
      - พนักงานที่มีอายุงานไม่เกิน 10 ปี จ่ายเงินสมทบ อัตราร้อยละ 9 ของเงินเดือน
      - พนักงานที่มีอายุงานมากกว่า 10 ปี – 20 ปี จ่ายเงินสมทบ อัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือน
     - พนักงานที่มีอายุงานมากกว่า 20 ปีขึ้นไปจ่ายเงินสมทบ อัตราร้อยละ 11 ของเงินเดือน

   2. การจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวให้มีผล เมื่อคณะกรรมการ กสท อนุมัติ และมีการแก้ไขข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กสล.บทป.) โดยมีผลบังคับใช้แล้ว

 

3.การสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปี

 

     มติที่ประชุม

   1. อนุมัติให้ กสท แก้ไขหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวันหยุดพักผ่อนสะสมประจำปี ดังนี้ 
      1.1 พนักงานที่มีอายุงานตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ครบ 10 ปี ซึ่งมีวันหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละ 10 วัน ให้สะสมวันที่ยังมิได้หยุดพักผ่อนในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆ ไปได้ แต่วันหยุดพักผ่อนสะสมกับวันหยุดพักผ่อนในปีปัจจุบันรวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน 40 วันทำการ
      1.2 พนักงานที่มีอายุการทำงานครบ 10 ปีบริบูรณ์ ซึ่งมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีปีละ 15 วัน ให้สะสมวันที่ยังมิได้หยุดพักผ่อนในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆ ไปได้ แต่วันหยุดพักผ่อนสะสมกับวันหยุดพักผ่อนในปีปัจจุบันรวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน 60 วันทำการ

หลักเกณฑ์การสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปีดังกล่าวเห็นควรให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป เนื่องจากประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2549 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2549 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
   2. พนักงานที่จะเกษียณอายุยังคงให้มีสิทธิสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปีได้ตามหลักเกณฑ์ ในข้อ 1.1 หรือ 1.2 แล้วแต่กรณี 

ทั้งนี้ ขอให้ฝ่ายจัดการรวบรวมข้อมูล หลักเกณฑ์ การสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปีของรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ไว้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบด้วย เนื่องจากมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานรวมทั้งขอให้ผู้บริหารแต่ละสายงานแจ้งพนักงานเพื่อขอความร่วมมือในการใช้สิทธิวันหยุดพักผ่อนประจำปีว่าไม่ควรกระทบต่อการดำเนินงาน
ขององค์กรด้วย
 

 

4.การจ่ายดอกเบี้ยของเงินบำเหน็จเพิ่มเติม

 

     มติที่ประชุม

   1. อนุมัติให้จ่ายดอกเบี้ยของเงินบำเหน็จเพิ่มเติมให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จฯ ซึ่งได้ออกจากงาน และให้แก่พนักงานที่โอนจากกองทุนบำเหน็จฯ ไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งได้ออกจากงานไปแล้วโดยให้จ่ายในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของระยะเวลานับตั้งแต่วันถัดจากวันที่จ่ายเงินบำเหน็จครั้งแรกถึงวันที่จ่ายเงินบำเหน็จเพิ่มเติมครบถ้วน 
   2. อนุมัติให้จ่ายดอกเบี้ยจากการขาดประโยชน์ที่ควรได้รับจากเงินบำเหน็จเพิ่มเติม ให้แก่พนักงานที่โอนจากกองทุนบำเหน็จฯ ไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและคงเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ โดยให้คิดคำนวณในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของระยะเวลานับตั้งแต่วันถัดจากวันที่โอนเงินบำเหน็จครั้งแรก ถึงวันที่โอนเงินบำเหน็จเพิ่มเติมครบถ้วน โดย
      2.1 โอนเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 
      2.2 หากไม่สามารถโอนเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตาม ข้อ 2.1ได้ ให้คงเงินดอกเบี้ยดังกล่าวไว้ ในกองทุนบำเหน็จเพื่อจ่ายให้แก่พนักงานหรือทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อพนักงานพ้นจากการเป็นพนักงานบริษัท โดยมีเงื่อนไข ดังนี้
          2.2.1 พนักงานที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงถึงขั้นไล่ออก หรือปลดออก ซึ่งถูกตั้งกรรมการสอบสวนระหว่างปฏิบัติงานในบริษัท ภายหลังกรณีถึงที่สุด ปรากฏว่าพนักงานผู้นั้น ถูกไล่ออก หรือ ปลดออกจากงานของบริษัท เพราะการกระทำความผิดดังกล่าว ไม่มีสิทธิได้รับเงินดอกเบี้ยดังกล่าว
          2.2.2 กรณีพนักงานถึงแก่ความตายให้จ่ายเงินดอกเบี้ยดังกล่าวแก่ทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เว้นแต่พนักงานผู้นั้นกระทำผิดวินัยร้ายแรงในระหว่างปฏิบัติงาน ในบริษัท และกรรมการผู้จัดการใหญ่พิจารณาเห็นว่า หากไม่ถึงแก่ความตายเสียก่อนจะต้องได้รับโทษถึงขั้นไล่ออก หรือปลดออกจากงานของบริษัท ไม่ให้จ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวให้แก่ทายาท
          2.2.3 หากพนักงานมีหนี้สิน ภาระผูกพันหรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ให้หักเงินดอกเบี้ยดังกล่าว ชดใช้หนี้สิน ภาระผูกพัน หรือค่าเสียหายให้แก่บริษัทให้ครบถ้วนเสียก่อน
          2.2.4 พนักงานหรือทายาทซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยดังกล่าวไม่มีสิทธิได้รับดอกผลใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากเงินดอกเบี้ยดังกล่าวในระหว่างคงเงินไว้ในกองทุนบำเหน็จ
          2.2.5 สิทธิในการขอรับเงินดอกเบี้ยดังกล่าวให้ผู้มีสิทธิยื่นคำขอรับเงินภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่รู้ว่าตนมีสิทธิหรือภายใน 10 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิ ถ้าพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว เป็นอันหมดสิทธิที่จะขอรับเงินดอกเบี้ยดังกล่าว

   3. ให้ประธานกรรมการจัดการกองทุนบำเหน็จฯ มีอำนาจสั่งจ่ายเงินดอกเบี้ยตามข้อ1 และข้อ 2 จากเงินอื่นใดของกองทุนบำเหน็จฯตามระเบียบบริษัทฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จสำหรับพนักงาน ในบริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2551 ข้อ 9

 

5.การจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้พนักงานเงินเดือนเต็มขั้นสูง

 

     มติที่ประชุม

          เห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษเงินเดือนเต็มขั้นสูงให้แก่พนักงานที่เงินเดือนเต็มขั้นสูง หรือเงินเดือนเกินขั้นสูงเฉพาะตัว ตามอัตราและหลักเกณฑ์ที่เสนอ

 

6.ขอความเห็นชอบให้ กสท ใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย บำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2550

 

     มติที่ประชุม

   1. เห็นชอบให้ใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2550 กับ กสท โดยให้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (วันที่ 30 สิงหาคม 2550)
   2. อนุมัติให้ดำเนินการกำหนดบำเหน็จความชอบทั้งที่เป็นตัวเงินและมิใช่เป็นตัวเงิน ให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา (เฉพาะอำเภอเทพา นาทวี สะบ้าย้อย และ จะนะ) หรือจังหวัดอื่นได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรี หรือที่คณะกรรมการพิจารณาบำเหน็จความชอบ สำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ก.บ.จ.ต.) กำหนดในแต่ละเรื่องได้โดยไม่ต้องนำเสนอ ขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กสท อีก
    3. เห็นชอบให้ กสท ยกเลิกบำเหน็จความชอบที่เป็นตัวเงินและมิใช่เป็นตัวเงินได้ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2550

 

7.ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปี 2551 ของ กสท

 

     มติที่ประชุม

          อนุมัติปรับกรอบวงเงินเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2551 ก่อนฝ่ายจัดการนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ฝ่ายจัดการเร่งดำเนินการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไป
ตามแผนโดยเร็ว 

หมายเหตุ : 
เป็นการคัดย่อมติคณะกรรมการ กสท ที่เป็นสาระสำคัญไม่ใช่มติคณะกรรมการ กสท ฉบับสมบูรณ์

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา